Aura Glow Studio

วิตามินเคคืออะไร? ประโยชน์ อาหารที่มี และอาการขาดวิตามินเค

7

วิตามินเค (Vitamin K) เป็นอีกหนึ่งวิตามินที่หลายคนอาจไม่คุ้นหูเท่ากับวิตามินซีหรือบีรวม แต่จริงๆ แล้ว “วิตามินเค” มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะในกระบวนการการแข็งตัวของเลือดและการสร้างกระดูกให้แข็งแรง

ชื่อของวิตามินเคมาจากคำในภาษาเยอรมันว่า “Koagulation” หมายถึง “การแข็งตัวของเลือด” ซึ่งบ่งบอกถึงหน้าที่หลักของมันได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ วิตามินเคยังช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และป้องกันการสะสมของแคลเซียมผิดตำแหน่งในหลอดเลือดอีกด้วย

วิตามินเคคืออะไร?

วิตามินเคจัดเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน (fat-soluble vitamin) ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างได้มากนัก จึงต้องได้รับจากอาหาร

วิตามินเคแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  1. วิตามินเค 1 (Phylloquinone) – พบมากในผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม บร็อคโคลี่ เป็นชนิดที่เรามักได้รับจากอาหารประจำวัน
  2. วิตามินเค 2 (Menaquinone) – พบในอาหารจากสัตว์และอาหารหมัก เช่น ไข่แดง ชีส เนย และนัตโตะ (ถั่วเหลืองหมักแบบญี่ปุ่น)

วิตามินเคทั้งสองชนิดนี้ทำงานร่วมกันในการแข็งตัวของเลือด การส่งแคลเซียมเข้าสู่กระดูก และช่วยลดการสะสมแคลเซียมในหลอดเลือด

ประโยชน์ของวิตามินเค

1. ช่วยให้เลือดแข็งตัวตามปกติ

วิตามินเคเป็นตัวกระตุ้นเอนไซม์ที่ใช้ในการสร้างโปรตีนหลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด เช่น โปรทรอมบิน (Prothrombin) หากขาดวิตามินเค จะทำให้เลือดหยุดยาก มีเลือดออกง่าย หรือเป็นจ้ำเลือดตามร่างกาย

2. บำรุงกระดูกให้แข็งแรง

วิตามินเคมีบทบาทสำคัญในการ “เปิดใช้งาน” โปรตีนที่ชื่อว่า Osteocalcin ซึ่งทำหน้าที่จับแคลเซียมเข้าสู่กระดูก
การได้รับวิตามินเคอย่างเพียงพอช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน และเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทอง

3. ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

วิตามินเค 2 ช่วยลดการสะสมของแคลเซียมในผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือดแข็ง
ผู้ที่รับวิตามินเค 2 อย่างเพียงพอ มีแนวโน้มมีสุขภาพหัวใจที่ดีกว่า และหลอดเลือดยืดหยุ่นมากกว่า

4. ช่วยให้แผลหายเร็ว

เนื่องจากวิตามินเคช่วยให้เลือดแข็งตัวตามปกติ จึงส่งผลดีต่อกระบวนการสมานแผลและฟื้นฟูเนื้อเยื่อ

5. ทำงานร่วมกับวิตามินดี (Vitamin D)

วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม ส่วนวิตามินเคช่วยนำแคลเซียมไปใช้อย่างถูกที่ เช่น เข้าสู่กระดูกแทนที่จะไปสะสมในหลอดเลือด ดังนั้นการรับทั้งสองวิตามินนี้ร่วมกันจะช่วยเสริมประสิทธิภาพกันได้ดีที่สุด

อาหารที่มีวิตามินเคสูง

ประเภทอาหารวิตามินเคโดยประมาณ (ไมโครกรัม / 100 กรัม)
ผักเคล (Kale)817
ผักโขม (Spinach)483
บร็อคโคลี่ (Broccoli)141
คะน้า (Collard greens)440
ถั่วเหลืองหมัก (นัตโตะ)1100
ชีส / เนย70–80
ไข่แดง35
น้ำมันถั่วเหลือง / น้ำมันมะกอก50–60

เคล็ดลับ: วิตามินเคเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ดังนั้นควรรับประทานพร้อมอาหารที่มีน้ำมันเล็กน้อย เช่น น้ำมันมะกอก หรือน้ำสลัด จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น

ปริมาณวิตามินเคที่แนะนำต่อวัน

กลุ่มบุคคลปริมาณที่แนะนำต่อวัน
เด็ก 1–13 ปี30–60 ไมโครกรัม
ผู้ใหญ่เพศชาย120 ไมโครกรัม
ผู้ใหญ่เพศหญิง90 ไมโครกรัม
หญิงตั้งครรภ์ / ให้นมบุตร90–120 ไมโครกรัม

โดยทั่วไป คนส่วนใหญ่ได้รับวิตามินเคเพียงพอจากอาหารประจำวัน แต่บางกลุ่มอาจต้องได้รับเพิ่มโดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมไขมัน

อาการเมื่อขาดวิตามินเค

หากร่างกายขาดวิตามินเค จะสังเกตได้จากอาการดังนี้

  • เลือดออกง่าย แผลหายช้า
  • มีจ้ำเลือดตามตัว หรือฟกช้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • กระดูกเปราะ แตกหักง่าย
  • ในทารกแรกเกิดอาจเกิดภาวะเลือดออกในสมอง (hemorrhagic disease of the newborn)

การได้รับวิตามินเคมากเกินไป

โดยทั่วไปวิตามินเคจากอาหารธรรมชาติไม่ทำให้เกิดพิษ
อย่างไรก็ตาม การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินเคในปริมาณสูง ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) เพราะอาจเกิดปฏิกิริยาต่อกันได้

เคล็ดลับดูแลสุขภาพด้วยวิตามินเค

  1. รับประทานผักใบเขียวทุกวัน เช่น ผักโขม เคล คะน้า
  2. เสริมอาหารหมัก เช่น นัตโตะ หรือโยเกิร์ต เพื่อเพิ่มวิตามินเค 2
  3. ดื่มน้ำมันสุขภาพ เช่น น้ำมันมะกอก เพื่อช่วยดูดซึมวิตามิน
  4. หากคุณทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรรักษาระดับการกินผักให้ “คงที่” ไม่มากหรือน้อยเกินไป
  5. ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานวิตามินเสริมทุกครั้ง

วิตามินเคกับผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุมีความเสี่ยง “ขาดวิตามินเค” มากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากร่างกายดูดซึมไขมันลดลง ทำให้การดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น A, D, E และ K ลดลงตามไปด้วย
ดังนั้นจึงควรเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีวิตามินเค หรือปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการเสริมวิตามินอย่างเหมาะสม

สรุป

วิตามินเคอาจดูเป็นสารอาหารที่หลายคนมองข้าม แต่แท้จริงแล้วมันมีบทบาทสำคัญต่อทั้งระบบเลือด กระดูก และหัวใจ การได้รับวิตามินเคอย่างเพียงพอในแต่ละวัน ช่วยให้เลือดแข็งตัวปกติ กระดูกแข็งแรง และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้

“ดูแลสุขภาพจากภายใน เริ่มได้ง่าย ๆ ด้วยการเติมวิตามินเคให้เพียงพอในทุกวัน”

ติดต่อเรา

บทความที่เกี่ยวข้อง

7
วิตามินรวมคืออะไร? ประโยชน์ วิธีเลือก และข้อควรระว...
ในยุคที่ชีวิตเร่งรีบและอาหารไม่ครบ 5 หมู่เป็นเรื่องปกติ “วิตามินรวม” หรือ Multiv...
7
วิตามินเคคืออะไร? ประโยชน์ อาหารที่มี และอาการขาดว...
วิตามินเค (Vitamin K) เป็นอีกหนึ่งวิตามินที่หลายคนอาจไม่คุ้นหูเท่ากับวิตามินซีหร...
7
วิตามินบี 12 คืออะไร? ประโยชน์ อาการขาด และวิธีรับ...
ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น วิตามินและอาหารเสริมกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีว...
5
เทคโนโลยีกับอุตสาหกรรมหนังโป๊ การเปลี่ยนแปลงและแนว...
อุตสาหกรรมหนังโป๊หรือสื่อลามกถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีการเติบโตและปรับตัวอย่างรว...
5
ประวัติศาสตร์สื่อผู้ใหญ่ จากศิลปะยุคโบราณสู่ยุคดิจ...
สื่อผู้ใหญ่หรือเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์มาอย่างยาวนาน ...
5
วิวัฒนาการของหนังผู้ใหญ่ จากฟิล์มเงียบสู่ยุคดิจิทั...
หนังผู้ใหญ่หรือสื่อสำหรับผู้ใหญ่ เป็นหนึ่งในสื่อบันเทิงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแ...